สวัสดีครับทุกท่านที่สนใจโลกของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ SEO! วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องราวที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราโดดเด่นและเป็นที่รู้จักในสายตาของ Google และ Search Engines อื่นๆ นั่นก็คือ Structured Data หรือข้อมูลที่มีโครงสร้างนั่นเองครับ
บทนำ
ความสำคัญของ Structured Data
ลองนึกภาพว่า Search Engine เปรียบเสมือนหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ท่องไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ต่างๆ ทีนี้ ถ้าเราสามารถจัดเตรียมข้อมูลให้หุ่นยนต์เหล่านี้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ว่าแต่ละส่วนบนหน้าเว็บของเราคืออะไร เช่น นี่คือชื่อสินค้า นี่คือราคา นี่คือรีวิว หรือนี่คือสูตรอาหาร หุ่นยนต์ก็จะสามารถจัดหมวดหมู่และแสดงผลข้อมูลของเราได้อย่างแม่นยำและน่าสนใจยิ่งขึ้น Structured Data จึงเป็นเสมือนภาษาลับที่เราใช้สื่อสารกับ Search Engine ให้เข้าใจบริบทของข้อมูลบนเว็บไซต์ของเราอย่างชัดเจน
การใช้ Structured Data ที่ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยปลดล็อกการแสดงผลพิเศษที่เรียกว่า Rich Snippets ซึ่งทำให้ผลการค้นหาของเราดูน่าดึงดูดและมีข้อมูลมากกว่าคู่แข่ง เช่น มีดาวเรตติ้ง มีรูปภาพ มีราคา หรือมีข้อมูลคำถาม-คำตอบ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) และนำผู้เข้าชมที่มีคุณภาพมาสู่เว็บไซต์ของเราได้มากขึ้นครับ
แนะนำ JSON-LD และ Microdata
ในโลกของ Structured Data นั้น มีหลากหลายวิธีการในการนำไปใช้งาน แต่สองรูปแบบที่ได้รับความนิยมและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ JSON-LD (JavaScript Object Notation for Linked Data) และ Microdata ทั้งสองนี้มีจุดประสงค์เดียวกันคือการเพิ่มข้อมูลเชิงความหมายให้กับ HTML ของเรา แต่มีวิธีการเขียนและติดตั้งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วัตถุประสงค์ของบทความ
บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ JSON-LD และ Microdata อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่คำจำกัดความ วิธีการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย ไปจนถึงการเปรียบเทียบในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้ทุกท่านสามารถตัดสินใจได้ว่ารูปแบบใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเว็บไซต์และสถานการณ์ของท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ ผู้ดูแล SEO หรือเจ้าของธุรกิจ บทความนี้จะมอบแนวทางและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ท่านได้อย่างแน่นอนครับ
ทำความรู้จัก JSON-LD
คำจำกัดความ
JSON-LD (JavaScript Object Notation for Linked Data) คือรูปแบบการเข้ารหัสข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ถูกสร้างขึ้นจาก JavaScript Object Notation (JSON) ซึ่งเป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นมิตรต่อการอ่านของมนุษย์และเครื่องจักร มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นวิธีในการเพิ่ม Structured Data ลงในเว็บไซต์โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโค้ด HTML หลักของหน้าเว็บให้ยุ่งเหยิงครับ
วิธีการทำงานและลักษณะเด่น
JSON-LD ทำงานโดยการฝังบล็อกโค้ด JavaScript ที่มีข้อมูล Structured Data ไว้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเอกสาร HTML มักจะอยู่ในส่วน <head> หรือ <body> โดยใช้แท็ก <script type="application/ld+json">
ลักษณะเด่นของ JSON-LD:
- การแยกส่วนข้อมูล (Separation of Concerns): ข้อมูล Structured Data จะถูกแยกออกจากเนื้อหา HTML หลักอย่างชัดเจน ทำให้โค้ด HTML ของเราสะอาดและอ่านง่ายขึ้น
- ความยืดหยุ่นสูง: สามารถอ้างอิงถึงข้อมูลที่ไม่ได้อยู่บนหน้าเว็บนั้นๆ ได้ (เช่น ข้อมูลสินค้าที่มาจากฐานข้อมูลอื่น) และสามารถรวมหลายๆ Schema เข้าไว้ด้วยกันในบล็อกเดียว
- เป็นที่นิยมของ Google: Google ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า JSON-LD คือรูปแบบที่แนะนำสำหรับการนำ Structured Data ไปใช้
- เป็นมิตรกับ Dynamic Content: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงบ่อย หรือสร้างขึ้นด้วย JavaScript (เช่น Single Page Applications) เพราะสามารถสร้างและจัดการข้อมูลได้ง่ายผ่านโค้ด JavaScript
ข้อดี
- ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว: เพียงแค่เพิ่มบล็อกโค้ด JSON-LD เข้าไปในส่วน
<head>หรือ<body>ไม่ต้องแก้ไข HTML tag เดิมๆ - โค้ด HTML สะอาดตา: ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโครงสร้าง HTML หลัก ทำให้ HTML ของเรายังคงอ่านง่ายและเป็นระเบียบ
- ลดความเสี่ยงข้อผิดพลาด: เนื่องจากข้อมูลถูกแยกส่วนออกมา การเปลี่ยนแปลง Structured Data จึงไม่กระทบกับ Layout หรือ Style ของหน้าเว็บ
- ยืดหยุ่นสูง: สามารถสร้างข้อมูลที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน หรือรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่งได้อย่างง่ายดาย
- รองรับการทำงานกับ JavaScript Frameworks: ทำงานได้ดีกับ Frameworks สมัยใหม่อย่าง React, Angular, Vue.js
ข้อเสีย
- ต้องมีความรู้ JavaScript ระดับหนึ่ง: การสร้างและจัดการ JSON-LD ต้องอาศัยความเข้าใจในรูปแบบ JSON และ JavaScript พอสมควร
- ไม่สามารถมองเห็นได้บนหน้าเว็บ: ข้อมูลอยู่ในส่วนของ Script ซึ่งไม่แสดงผลโดยตรงบนหน้าเว็บ อาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้ดูโค้ดรู้สึกว่า “มองไม่เห็น” ข้อมูล
- อาจถูกละเลยในบางกรณี: แม้ Google จะแนะนำ แต่ในบางสถานการณ์ Search Engine อาจยังคงต้องการเห็นข้อมูลที่อยู่ใน HTML ที่มองเห็นได้ เพื่อยืนยันความถูกต้อง (แต่เป็นข้อยกเว้นมากกว่าหลักการ)
ทำความรู้จัก Microdata
คำจำกัดความ
Microdata คือข้อกำหนด HTML5 ที่อนุญาตให้เราฝัง Structured Data ลงไปในโค้ด HTML ที่มีอยู่เดิมโดยตรง โดยใช้แอตทริบิวต์ HTML พิเศษ เช่น itemscope, itemtype และ itemprop เพื่อระบุประเภทของข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเหล่านั้น มันเป็นเหมือนการเพิ่มป้ายกำกับเล็กๆ น้อยๆ ให้กับแต่ละองค์ประกอบในหน้าเว็บของเราครับ
วิธีการทำงานและลักษณะเด่น
Microdata ทำงานโดยการเพิ่มแอตทริบิวต์เฉพาะลงไปในแท็ก HTML ที่แสดงผลเนื้อหาบนหน้าเว็บ ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีข้อมูลสินค้า เราจะเพิ่มแอตทริบิวต์ itemscope และ itemtype="http://schema.org/Product" ให้กับแท็ก <div> ที่ครอบข้อมูลสินค้าทั้งหมด จากนั้นจึงใช้ itemprop="name" สำหรับชื่อสินค้า, itemprop="price" สำหรับราคา เป็นต้น
ลักษณะเด่นของ Microdata:
- ฝังใน HTML โดยตรง (In-band): ข้อมูล Structured Data จะอยู่รวมกับเนื้อหา HTML ที่แสดงผลบนหน้าเว็บ
- เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่มองเห็นได้: โดยธรรมชาติแล้ว Microdata จะเชื่อมโยงข้อมูลโดยตรงกับองค์ประกอบ HTML ที่ผู้ใช้มองเห็น ทำให้ Search Engine มั่นใจได้ว่าข้อมูลนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใช้เห็น
- ทำความเข้าใจได้ด้วย HTML พื้นฐาน: ไม่ต้องมีความรู้ด้าน JavaScript ก็สามารถทำความเข้าใจและนำไปใช้ได้
ข้อดี
- เชื่อมโยงกับเนื้อหาโดยตรง: ข้อมูล Structured Data ถูกฝังอยู่กับเนื้อหาที่ผู้ใช้เห็น ทำให้มีความชัดเจนและตรวจสอบได้ง่าย
- ไม่ต้องใช้ JavaScript: ผู้ที่คุ้นเคยกับ HTML สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ภาษาใหม่
- เหมาะสำหรับข้อมูลที่เรียบง่าย: หาก Structured Data ที่ต้องการไม่ซับซ้อน Microdata สามารถทำได้อย่างตรงไปตรงมา
- ยังคงได้รับการสนับสนุน: แม้ Google จะแนะนำ JSON-LD แต่ Microdata ก็ยังคงเป็นรูปแบบที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่
ข้อเสีย
- โค้ด HTML อาจรก: การเพิ่มแอตทริบิวต์จำนวนมากในแท็ก HTML อาจทำให้โค้ดดูซับซ้อนและอ่านยาก
- แก้ไขและดูแลรักษายาก: หากต้องการแก้ไขหรืออัปเดต Structured Data อาจต้องไล่หาและแก้ไขในหลายๆ จุดทั่วทั้ง HTML
- ส่งผลต่อ Layout/Style: การแก้ไข HTML เพื่อเพิ่ม Microdata อาจส่งผลกระทบโดยไม่ได้ตั้งใจต่อการแสดงผลของหน้าเว็บ หากไม่ระมัดระวัง
- ความยืดหยุ่นน้อยกว่า: การรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง หรือการสร้างโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อนทำได้ยากกว่า JSON-LD
- ไม่เหมาะกับ Dynamic Content: การจัดการ Microdata ในเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงแบบไดนามิกอาจเป็นเรื่องท้าทาย
การเปรียบเทียบเชิงลึก
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาเปรียบเทียบ JSON-LD และ Microdata ในแต่ละแง่มุมกันครับ
เกณฑ์การเปรียบเทียบ
-
การติดตั้ง/การนำไปใช้
- JSON-LD: ติดตั้งง่าย เพียงเพิ่มบล็อกโค้ด
<script type="application/ld+json">ในส่วน<head>หรือ<body>ไม่ต้องแก้ไขโครงสร้าง HTML เดิม - Microdata: ต้องเพิ่มแอตทริบิวต์
itemscope,itemtype,itempropเข้าไปในแท็ก HTML ที่มีเนื้อหาอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง HTML โดยตรง
- JSON-LD: ติดตั้งง่าย เพียงเพิ่มบล็อกโค้ด
-
ความง่ายในการอ่าน/เขียนโค้ด
- JSON-LD: โค้ดถูกจัดเป็นระเบียบในรูปแบบ JSON คล้ายอ็อบเจกต์ JavaScript ทำให้แยกส่วนและทำความเข้าใจโครงสร้างข้อมูลได้ง่ายสำหรับนักพัฒนาที่คุ้นเคยกับ JSON
- Microdata: แอตทริบิวต์ถูกแทรกอยู่ทั่ว HTML ทำให้โค้ด HTML อาจดูรกและอ่านยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน
-
ความยืดหยุ่นและการขยายตัว
- JSON-LD: มีความยืดหยุ่นสูง สามารถอ้างอิงข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง หรือจากส่วนที่ไม่ได้แสดงผลบนหน้าเว็บได้ง่าย เหมาะสำหรับการรวม Schema ที่ซับซ้อนและการขยายในอนาคต
- Microdata: ความยืดหยุ่นน้อยกว่า เพราะต้องผูกติดกับโครงสร้าง HTML ที่มองเห็น การแก้ไขหรือเพิ่มข้อมูลในอนาคตอาจต้องปรับเปลี่ยน HTML อย่างมาก
-
ผลกระทบต่อ SEO
- JSON-LD: ได้รับการแนะนำโดย Google อย่างชัดเจนว่าเป็นรูปแบบที่ต้องการ ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง
- Microdata: ยังคงได้รับการสนับสนุนและสามารถสร้าง Rich Snippets ได้เช่นกัน แต่ Google มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับ JSON-LD มากกว่าในระยะยาว
-
การสนับสนุนจากเครื่องมือ
- JSON-LD: มีเครื่องมือสร้างโค้ด (Schema Generators) และเครื่องมือตรวจสอบ (Rich Results Test by Google) ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง
- Microdata: มีเครื่องมือรองรับเช่นกัน แต่บางครั้งการดีบักหรือการตรวจสอบอาจต้องพึ่งพาการอ่านโค้ด HTML ที่ซับซ้อน
-
การจัดการข้อผิดพลาด
- JSON-LD: ข้อผิดพลาดใน JSON-LD มักจะจำกัดอยู่ภายในบล็อกสคริปต์ ไม่กระทบต่อการแสดงผลของหน้าเว็บ
- Microdata: ข้อผิดพลาดในการแทรกแอตทริบิวต์อาจส่งผลกระทบต่อความถูกต้องของ HTML หรือแม้กระทั่งการแสดงผลของหน้าเว็บได้
กรณีการใช้งานที่เหมาะสม
ถึงแม้ Google จะแนะนำ JSON-LD แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Microdata ไม่มีประโยชน์แล้วนะครับ ทั้งสองรูปแบบมีจุดแข็งที่แตกต่างกันและเหมาะกับสถานการณ์ที่ต่างกันไป ลองมาดูกันครับว่าเมื่อไหร่ควรเลือกใช้รูปแบบไหน
เมื่อไหร่ควรใช้ JSON-LD
- เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงบ่อย: เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่, เว็บไซต์ข่าวสาร, แพลตฟอร์มรีวิว ที่มีข้อมูลจำนวนมากและมีการอัปเดตเป็นประจำ การใช้ JSON-LD ช่วยให้การจัดการข้อมูลทำได้ง่ายกว่า
- เว็บไซต์ที่สร้างด้วย JavaScript Frameworks (SPA): เช่น React, Angular, Vue.js ซึ่งมักจะสร้างเนื้อหาแบบ Dynamic บน Client-side JSON-LD สามารถถูกสร้างและแทรกลงใน DOM ได้อย่างง่ายดายด้วย JavaScript
- เมื่อต้องการรวม Structured Data หลายประเภทเข้าด้วยกัน: หากต้องการระบุทั้งข้อมูลองค์กร, ข้อมูลสินค้า, และข้อมูลรีวิวบนหน้าเดียวกัน JSON-LD สามารถทำได้ในบล็อกเดียวอย่างเป็นระเบียบ
- เมื่อนักพัฒนาเว็บไซต์มีความคุ้นเคยกับ JavaScript: หากทีมพัฒนามีความถนัดในการเขียนและจัดการโค้ด JavaScript จะสามารถใช้ JSON-LD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เมื่อต้องการประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ SEO: เนื่องจาก Google แนะนำและดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับ JSON-LD มากกว่า การเลือกใช้ JSON-LD จึงมักเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรับประกัน Rich Snippets
เมื่อไหร่ควรใช้ Microdata
- เว็บไซต์ที่เรียบง่ายและมีเนื้อหาคงที่: เช่น เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็ก, เว็บไซต์ส่วนตัว หรือหน้า Landing Page ที่มีข้อมูลไม่มากและไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย การฝัง Microdata โดยตรงใน HTML อาจเพียงพอ
- เมื่อต้องการเชื่อมโยง Structured Data กับเนื้อหาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน: ในบางกรณีที่เนื้อหา Structured Data เป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่ผู้ใช้เห็นอยู่แล้ว การใช้ Microdata อาจช่วยให้ Search Engine มั่นใจได้ว่าข้อมูลนั้นตรงกับสิ่งที่แสดงบนหน้าเว็บ
- เมื่อทีมพัฒนามีความคุ้นเคยกับ HTML เท่านั้น: หากทีมไม่มีความรู้ด้าน JavaScript มากนัก และต้องการวิธีที่ตรงไปตรงมาในการเพิ่ม Structured Data Microdata ก็เป็นตัวเลือกที่ใช้งานได้
- เว็บไซต์ที่มีข้อจำกัดในการเพิ่ม JavaScript: ในบางแพลตฟอร์มหรือ CMS อาจมีข้อจำกัดในการเพิ่ม Script ภายนอก การใช้ Microdata ที่ฝังอยู่ใน HTML จึงเป็นทางออกที่ดี
แนวทางการเลือกรูปแบบที่เหมาะสม
การตัดสินใจเลือกระหว่าง JSON-LD และ Microdata ไม่ใช่เรื่องขาวดำ แต่เป็นการพิจารณาจากหลายปัจจัย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและเป้าหมายของเว็บไซต์ของเรามากที่สุดครับ
ปัจจัยในการพิจารณา
-
ทักษะของนักพัฒนา
- หากทีมพัฒนามีความเชี่ยวชาญด้าน JavaScript และ Data Structures, JSON-LD จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยให้ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- หากทีมส่วนใหญ่คุ้นเคยกับ HTML เป็นหลักและต้องการวิธีที่เรียบง่าย, Microdata อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
-
ความซับซ้อนของเว็บไซต์
- เว็บไซต์ขนาดใหญ่, มีข้อมูลหลากหลาย, หรือมีการอัปเดตข้อมูลบ่อยครั้ง ควรเลือก JSON-LD เพื่อความยืดหยุ่นในการจัดการและ scalability
- เว็บไซต์ขนาดเล็ก, มีเนื้อหาคงที่, และมี Structured Data ไม่ซับซ้อน อาจใช้ Microdata ได้อย่างไม่มีปัญหา
-
ระบบเดิมที่มีอยู่ (Existing Systems)
- หากเว็บไซต์ของคุณใช้ CMS (Content Management System) หรือ Frameworks บางอย่างที่อาจมีข้อจำกัดในการแก้ไข HTML โดยตรง การใช้ JSON-LD อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า
- บาง CMS อาจมีปลั๊กอินหรือวิธีการที่รองรับ Microdata โดยเฉพาะ ก็อาจพิจารณาใช้ตามความเหมาะสม
-
ความต้องการในการขยายในอนาคต
- หากมีแผนที่จะเพิ่มประเภท Structured Data ที่ซับซ้อนขึ้น หรือขยายข้อมูลในอนาคต JSON-LD มอบความยืดหยุ่นที่เหนือกว่า
- Microdata อาจกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเมื่อเว็บไซต์และ Structured Data มีความซับซ้อนมากขึ้น
-
ข้อกำหนดเฉพาะของ Structured Data
- แม้ Schema.org จะรองรับทั้งสองรูปแบบ แต่ในทางปฏิบัติ Google ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าแนะนำ JSON-LD สำหรับ Rich Snippets ส่วนใหญ่
- ในบางกรณีที่ข้อมูลมีการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับองค์ประกอบ HTML ที่สำคัญมากๆ และต้องการให้ Search Engine ตรวจสอบความถูกต้องของการปรากฏบนหน้าเว็บ Microdata ก็ยังมีประโยชน์
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สรุปความแตกต่างหลัก
โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างหลักระหว่าง JSON-LD และ Microdata อยู่ที่วิธีการฝังข้อมูล:
- JSON-LD: เป็น “Out-of-band” หรือข้อมูลที่ถูกแยกออกมาต่างหาก อยู่ในบล็อก Script ไม่ยุ่งกับ HTML หลัก มอบความยืดหยุ่นสูงและเป็นที่ชื่นชอบของ Google
- Microdata: เป็น “In-band” หรือข้อมูลที่ถูกฝังอยู่ใน HTML โดยตรงผ่านแอตทริบิวต์ ผูกติดกับเนื้อหาที่มองเห็นได้ เหมาะสำหรับกรณีที่เรียบง่ายและมีความผูกพันกับ HTML โดยตรง
คำแนะนำทั่วไปในการเลือก
หากคุณกำลังเริ่มต้นหรือต้องการอัปเกรด Structured Data บนเว็บไซต์ ผมขอแนะนำให้พิจารณา JSON-LD เป็นอันดับแรก ครับ ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ:
- Google ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการและแนะนำอย่างชัดเจน
- มีความยืดหยุ่นในการนำไปใช้และดูแลรักษาในระยะยาว
- ไม่รบกวนโครงสร้าง HTML และการแสดงผลของหน้าเว็บ
- มีเครื่องมือช่วยสร้างและตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม หากเว็บไซต์ของคุณมีข้อจำกัดบางประการ หรือมี Structured Data ที่เรียบง่ายมากๆ และคุณคุ้นเคยกับ Microdata อยู่แล้ว การใช้ Microdata ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้และได้รับการยอมรับเช่นกัน เพียงแต่ควรพิจารณาถึงข้อเสียในระยะยาวเผื่อไว้ด้วย
ความคิดเห็นสุดท้าย
ไม่ว่าคุณจะเลือก JSON-LD หรือ Microdata สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำไปใช้งานอย่างถูกต้องและแม่นยำครับ Structured Data ที่มีข้อผิดพลาดหรือให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับเนื้อหาบนหน้าเว็บ อาจไม่ส่งผลดีต่อ SEO และอาจถูกมองข้ามโดย Search Engine ได้ ดังนั้น การใช้เครื่องมือตรวจสอบ Structured Data (เช่น Google’s Rich Results Test) จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการยืนยันว่าข้อมูลที่เราเพิ่มเข้าไปนั้นถูกต้องและพร้อมสำหรับการประมวลผล
การลงทุนในการทำ Structured Data อย่างเข้าใจและตั้งใจ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างและโดดเด่นในผลการค้นหาได้อย่างแน่นอนครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการเดินทางสู่โลกของ SEO ที่มีประสิทธิภาพนะครับ!