Core Web Vitals และ Page Experience ปัจจัยสำคัญที่ AI ให้ความสำคัญ

ในยุคดิจิทัลที่เว็บไซต์กลายเป็นประตูบานแรกสู่โลกธุรกิจ การสร้างความประทับใจแรกพบจึงสำคัญยิ่งกว่าที่เคย คุณเคยไหมที่คลิกเข้าเว็บไซต์แล้วพบว่ามันโหลดช้ามาก หรือเลื่อนดูเนื้อหาอยู่ดีๆ ข้อความก็กระโดดไปมาจนอ่านไม่รู้เรื่อง? ประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่ความรู้สึกของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังกระทบถึงการจัดอันดับบน Search Engine ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อันชาญฉลาดอีกด้วย วันนี้เราจะพาคุณไปสำรวจโลกของ Core Web Vitals และ Page Experience สองหัวใจสำคัญที่ AI ของ Google ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพที่ผู้ใช้และ AI ต่างหลงรัก

Table of Contents

ความสำคัญของการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

ในโลกที่ข้อมูลไหลบ่าและตัวเลือกมากมาย ประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience – UX) ได้กลายมาเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ดีไซน์ที่สวยงาม หรือเนื้อหาที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรวดเร็วในการโหลด ความง่ายในการใช้งาน และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์อีกด้วย การละเลยประสบการณ์เหล่านี้ก็เหมือนการเปิดร้านค้าที่ประตูเปิดยาก ทางเดินไม่สะดวก แม้สินค้าจะดีแค่ไหน ลูกค้าก็อาจเดินจากไปก่อนถึงชั้นวาง

Google ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงได้แนะนำชุดตัวชี้วัดสำคัญที่เรียกว่า Core Web Vitals และแนวคิด Page Experience เพื่อเป็นแนวทางและสัญญาณให้เว็บไซต์ต่างๆ พัฒนาคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือสิ่งที่ AI ของ Google ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ ว่าเว็บไซต์ใดสมควรปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่นบนผลการค้นหา

Core Web Vitals: หัวใจของความเร็วและเสถียรภาพ

Core Web Vitals คือชุดตัวชี้วัดที่เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้ในด้านความเร็วในการโหลด การตอบสนอง และความเสถียรของหน้าเว็บ ซึ่ง Google ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแกนหลักของประสบการณ์ที่ดี และ AI ก็จะใช้ข้อมูลจากตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณ

Largest Contentful Paint (LCP): การโหลดเนื้อหาหลัก

  • ความหมายและผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้: LCP คือเวลาที่ใช้ในการโหลดองค์ประกอบเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดที่ผู้ใช้มองเห็นได้บนหน้าจอ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปภาพหลัก วิดีโอ หรือบล็อกข้อความขนาดใหญ่ ลองนึกภาพเวลาที่คุณเข้าเว็บไซต์แล้วเห็นหน้าจอว่างเปล่านานๆ กว่าภาพสวยๆ หรือข้อความสำคัญจะปรากฏขึ้น นั่นคือ LCP ที่ช้าเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกของผู้ใช้ ทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดและอาจกดปิดไปก่อนเนื้อหาจะมาครบด้วยซ้ำ Google แนะนำให้ LCP ไม่เกิน 2.5 วินาที
  • ปัจจัยที่ส่งผลและแนวทางการปรับปรุง:

    • ปัจจัย: เวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า, ทรัพยากรที่บล็อกการแสดงผล (เช่น JavaScript หรือ CSS ขนาดใหญ่ที่โหลดก่อน), รูปภาพหรือวิดีโอขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ปรับให้เหมาะสม, การโหลดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นก่อนเนื้อหาหลัก.
    • แนวทางการปรับปรุง:
      • ใช้บริการ CDN (Content Delivery Network) เพื่อส่งมอบเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ผู้ใช้ที่สุด.
      • ปรับขนาดและบีบอัดรูปภาพให้เหมาะสมก่อนอัปโหลด, ใช้รูปแบบภาพรุ่นใหม่ (เช่น WebP).
      • เลื่อนการโหลด JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็นออกไป หรือย้ายไปโหลดทีหลัง (defer/async).
      • ปรับปรุงประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของคุณ.

First Input Delay (FID): การตอบสนองต่อการโต้ตอบ

  • ความหมายและผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้: FID คือเวลาที่หน้าเว็บใช้ในการตอบสนองต่อการโต้ตอบครั้งแรกของผู้ใช้ เช่น การคลิกปุ่ม การเลือกเมนู หรือการพิมพ์ข้อมูลลงในช่อง นั่นหมายถึงตั้งแต่คุณคลิกจนกระทั่งเว็บไซต์เริ่มประมวลผลการกระทำของคุณ ลองนึกภาพว่าคุณคลิกปุ่ม ‘ส่ง’ บนฟอร์มสมัครสมาชิก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่หลายวินาที คุณคงรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นค้างหรือไม่ทำงาน ซึ่งจะสร้างความไม่พอใจอย่างมาก Google แนะนำให้ FID ไม่เกิน 100 มิลลิวินาที
  • ปัจจัยที่ส่งผลและแนวทางการปรับปรุง:

    • ปัจจัย: JavaScript ที่ทำงานหนักและใช้เวลานาน ทำให้เธรดหลักของบราวเซอร์ไม่ว่างพอที่จะตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้.
    • แนวทางการปรับปรุง:
      • ลดขนาดของ JavaScript และลดเวลาที่ JavaScript ต้องทำงาน.
      • แบ่งโค้ด JavaScript ออกเป็นส่วนเล็กๆ เพื่อให้บราวเซอร์สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้น (Code Splitting).
      • ใช้ Web Workers เพื่อย้ายงานที่หนักหน่วงของ JavaScript ไปทำงานบนเธรดอื่น.

Cumulative Layout Shift (CLS): ความเสถียรของเลย์เอาต์

  • ความหมายและผลกระทบต่อประสบการณ์ผู้ใช้: CLS คือการวัดความไม่เสถียรของเลย์เอาต์หน้าเว็บ กล่าวคือ การที่องค์ประกอบต่างๆ บนหน้าจอมีการเคลื่อนที่หรือกระโดดไปมาโดยไม่คาดคิดขณะที่เนื้อหากำลังโหลด คุณคงเคยเลื่อนอ่านบทความอยู่ดีๆ แล้วข้อความก็กระโดดลงไปเพราะมีรูปภาพหรือโฆษณาโหลดแทรกเข้ามาทีหลัง หรือกำลังจะคลิกปุ่มใดปุ่มหนึ่ง แต่จู่ๆ ปุ่มนั้นก็เลื่อนหลบไป ทำให้คลิกผิด การเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์แบบนี้สร้างความรำคาญและทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดอย่างมาก Google แนะนำให้ CLS ไม่เกิน 0.1
  • ปัจจัยที่ส่งผลและแนวทางการปรับปรุง:

    • ปัจจัย: รูปภาพหรือวิดีโอที่ไม่ได้กำหนดขนาด (width และ height) ล่วงหน้า, โฆษณาที่โหลดเข้ามาทีหลังโดยไม่มีการจองพื้นที่ไว้, การแทรกเนื้อหาแบบไดนามิก (เช่น แบนเนอร์ยินดีต้อนรับ) ที่ไม่ได้เตรียมพื้นที่รองรับไว้ก่อน, ฟอนต์ที่โหลดช้าทำให้ข้อความกระโดด.
    • แนวทางการปรับปรุง:
      • กำหนดขนาด (width และ height) ให้กับรูปภาพและวิดีโอเสมอ.
      • จองพื้นที่สำหรับโฆษณา, Embeds (เช่น วิดีโอจาก YouTube) หรือเนื้อหาแบบไดนามิกอื่นๆ.
      • ใช้คุณสมบัติ CSS เช่น min-height เพื่อกำหนดพื้นที่สำหรับเนื้อหาที่อาจโหลดเข้ามาทีหลัง.
      • โหลดฟอนต์ด้วยวิธีที่เหมาะสม เพื่อลดการกระโดดของข้อความ.

Page Experience: ภาพรวมของประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี

Page Experience ไม่ได้มีแค่ Core Web Vitals เท่านั้น แต่เป็นภาพรวมที่กว้างกว่า ซึ่งรวบรวมปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ Google พิจารณาว่ามีส่วนช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีบนเว็บไซต์ของคุณอย่างครบวงจร

Core Web Vitals เป็นส่วนหนึ่งของ Page Experience

ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว Core Web Vitals (LCP, FID, CLS) ถือเป็นหัวใจสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของ Page Experience เพราะเป็นตัวชี้วัดที่จับต้องได้ในเรื่องความเร็วและเสถียรภาพ แต่ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน

ปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญ

  • ความเข้ากันได้กับมือถือ (Mobile-Friendliness): ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน เว็บไซต์ที่แสดงผลได้ดีและใช้งานง่ายบนอุปกรณ์มือถือจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง Google ใช้ Mobile-First Indexing นั่นหมายความว่า AI จะใช้เวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์คุณในการจัดอันดับเป็นหลัก หากเว็บไซต์ของคุณไม่เป็นมิตรกับมือถือ การจัดอันดับก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
  • ความปลอดภัย (HTTPS): การมีใบรับรอง SSL และใช้โปรโตคอล HTTPS ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้จากการถูกดักจับ แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย ผู้ใช้มักจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์ “ล็อค” สีเขียวที่แสดงถึงความปลอดภัย และ Google เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากในการจัดอันดับ
  • การไม่แสดงโฆษณาคั่นที่รบกวน (No Intrusive Interstitials): คงไม่มีใครชอบเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยโฆษณาป๊อปอัพขนาดใหญ่ที่บังเนื้อหาทั้งหมด หรือโฆษณาที่บังคับให้กดปิดก่อนจะเข้าถึงเนื้อหาได้ Google มีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับโฆษณาคั่นที่รบกวนประสบการณ์ผู้ใช้ หากเว็บไซต์ของคุณมีการใช้งานโฆษณาในลักษณะนี้ อาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับได้ เพราะ AI ตระหนักดีว่าสิ่งเหล่านี้สร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก

ทำไม AI และ Search Engine จึงให้ความสำคัญ

อาจมีคำถามว่าทำไม Google และ AI ของพวกเขาถึงใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้? คำตอบนั้นเรียบง่ายและเป็นหัวใจหลักของภารกิจ Google มาโดยตลอด

ภารกิจของ Google: มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้

หัวใจสำคัญของการทำงานของ Google คือการเชื่อมโยงผู้ใช้กับข้อมูลที่ดีที่สุดและประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อผู้ใช้ค้นหาอะไรบางอย่าง Google ต้องการให้ผลลัพธ์ที่นำเสนอไม่เพียงแค่ตรงประเด็น แต่ยังสามารถเข้าถึงและใช้งานได้อย่างราบรื่น หากเว็บไซต์ที่ติดอันดับแรกๆ โหลดช้าหรือไม่เสถียร ผู้ใช้ก็จะหงุดหงิดและลดความไว้วางใจใน Google ไปด้วย

การทำงานของ Algorithm AI: ใช้สัญญาณเหล่านี้ในการประเมินคุณภาพ

Algorithm AI ของ Google ได้รับการออกแบบมาเพื่อ “เข้าใจ” และ “ประเมิน” คุณภาพของเว็บไซต์ในหลายมิติ Core Web Vitals และปัจจัยอื่นๆ ของ Page Experience คือ “สัญญาณ” ที่ AI ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินว่าเว็บไซต์ใดควรได้รับการจัดอันดับสูง สัญญาณเหล่านี้เป็นตัวบอก AI ว่าเว็บไซต์นั้นใส่ใจผู้ใช้มากน้อยแค่ไหน และมอบประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจหรือไม่

ผลกระทบโดยตรงต่อการจัดอันดับ (Ranking Factor)

Google ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า Page Experience โดยเฉพาะ Core Web Vitals เป็นหนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับ (Ranking Factor) โดยตรง ซึ่งหมายความว่าหากเว็บไซต์ของคุณมีคะแนน Core Web Vitals ที่ดี และ Page Experience โดยรวมที่ยอดเยี่ยม ก็มีโอกาสที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแข่งขันกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพใกล้เคียงกัน

ผลกระทบทางอ้อม: พฤติกรรมผู้ใช้และการมีส่วนร่วม

นอกเหนือจากผลกระทบโดยตรงแล้ว Page Experience ยังส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่ง AI ของ Google ก็สามารถรับรู้และนำไปประเมินได้ หากเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว ใช้งานง่าย และไม่สร้างความหงุดหงิด ผู้ใช้ก็มีแนวโน้มที่จะ

  • ใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น (Higher Time on Site)
  • ดูหน้าเว็บหลายหน้า (More Page Views)
  • มีอัตราการตีกลับที่ต่ำลง (Lower Bounce Rate)

พฤติกรรมเหล่านี้คือสัญญาณเชิงบวกที่ AI ตีความได้ว่าผู้ใช้พึงพอใจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดอันดับในระยะยาว

แนวทางการปรับปรุง Core Web Vitals และ Page Experience

เมื่อทราบถึงความสำคัญแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำ การปรับปรุงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องยากเสมอไป แต่ต้องอาศัยการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและความเข้าใจที่ถูกต้อง

เครื่องมือในการตรวจสอบและวิเคราะห์

Google มีเครื่องมืออันทรงพลังหลายตัวที่จะช่วยให้คุณตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด

  • Google Search Console: เป็นเครื่องมือแรกที่คุณควรดู มีรายงาน Core Web Vitals ที่ชัดเจน บอกสถานะของหน้าเว็บแต่ละหน้าว่า “ดี”, “ต้องปรับปรุง” หรือ “แย่” และระบุปัญหาหลักๆ
  • PageSpeed Insights: เครื่องมือนี้จะให้คะแนนประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ พร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียดว่าควรปรับปรุงจุดใดบ้างสำหรับ LCP, FID, CLS และปัจจัยอื่นๆ
  • Lighthouse: เป็นเครื่องมือที่มาพร้อมกับ Chrome Developer Tools (กด F12 ใน Chrome) สามารถรัน Audit ประสิทธิภาพ, การเข้าถึง, SEO และ Page Experience ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมคำแนะนำที่ครอบคลุม

กลยุทธ์เฉพาะสำหรับ Core Web Vitals

  • การลดเวลาโหลด LCP:

    • ปรับปรุงเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์: เลือกโฮสติ้งที่ดี, ใช้ CDN, ทำ Server-Side Caching.
    • ลดขนาดและปรับปรุงรูปภาพ: บีบอัดรูปภาพ, ใช้รูปแบบ WebP, ใช้ srcset สำหรับรูปภาพ Responsive, เลื่อนการโหลดรูปภาพที่ไม่ปรากฏบนหน้าจอแรก (Lazy Load).
    • เลื่อนการโหลด CSS/JS ที่ไม่สำคัญ: ใช้ async หรือ defer สำหรับ JavaScript ที่ไม่จำเป็นต้องโหลดทันที, แยก CSS ที่จำเป็นสำหรับหน้าจอแรกออกมาก่อน (Critical CSS).
  • การปรับปรุงการตอบสนอง FID:

    • ลดปริมาณและเวลาการทำงานของ JavaScript: ลบโค้ดที่ไม่ใช้, บีบอัดโค้ด, แยกโค้ดออกเป็นส่วนๆ (Code Splitting).
    • ใช้เทคนิคการแบ่งโค้ด (code splitting): โหลดเฉพาะ JavaScript ที่จำเป็นสำหรับหน้าเว็บนั้นๆ แทนที่จะโหลดทั้งหมด.
  • การป้องกัน CLS:

    • ระบุขนาดรูปภาพ/วิดีโอเสมอ: กำหนด width และ height ในแท็ก img หรือ video.
    • จองพื้นที่สำหรับโฆษณาและเนื้อหาแบบไดนามิก: ใช้ CSS เพื่อกำหนดพื้นที่ว่าง (เช่น min-height) สำหรับเนื้อหาที่อาจโหลดเข้ามาทีหลัง.
    • หลีกเลี่ยงการแทรกเนื้อหาโดยไม่กำหนดพื้นที่: ตรวจสอบว่าเนื้อหาที่โหลดแบบ Asynchronous ไม่ทำให้เลย์เอาต์เปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิด.

กลยุทธ์สำหรับ Page Experience อื่นๆ

  • การปรับให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับมือถือ:

    • ใช้ Responsive Design: ทำให้เว็บไซต์ปรับขนาดและเลย์เอาต์ให้เข้ากับหน้าจอทุกขนาด.
    • ทดสอบด้วย Mobile-Friendly Test ของ Google: เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณผ่านเกณฑ์หรือไม่.
  • การรักษาความปลอดภัยด้วย HTTPS:

    • ติดตั้ง SSL Certificate: ติดตั้งใบรับรอง SSL เพื่อเปิดใช้งาน HTTPS ซึ่งปัจจุบันเป็นมาตรฐานและจำเป็นสำหรับทุกเว็บไซต์.
  • การจัดการโฆษณาคั่น:

    • หลีกเลี่ยงโฆษณาที่รบกวนการใช้งาน: เช่น ป๊อปอัพขนาดใหญ่ที่บังเนื้อหา, โฆษณาที่ต้องใช้ความพยายามในการปิด.
    • ใช้โฆษณาที่ไม่บังคับให้ผู้ใช้ต้องปิด: พิจารณาใช้รูปแบบโฆษณาที่ไม่รบกวนประสบการณ์การอ่านหรือการใช้งานหลัก.

อนาคตของ Page Experience และ AI ในการจัดอันดับ

โลกของ Search Engine ไม่เคยหยุดนิ่ง AI ของ Google ก็เช่นกัน มันเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ และแนวคิดของ Page Experience นี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นรากฐานที่สำคัญและจะยังคงมีความหมายอย่างยั่งยืน

ความสำคัญที่ยั่งยืนในยุคที่ AI พัฒนา

ยิ่ง AI ฉลาดขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งสามารถเข้าใจความซับซ้อนของประสบการณ์ผู้ใช้ได้ดีขึ้นเท่านั้น Core Web Vitals และ Page Experience จึงไม่ใช่แค่เกณฑ์การประเมิน แต่เป็นภาษาที่ AI ใช้สื่อสารกับเราว่า “เว็บไซต์ที่ดีควรเป็นอย่างไร” ในอนาคต เราอาจเห็นตัวชี้วัดใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา เพื่อสะท้อนถึงแง่มุมอื่นๆ ของประสบการณ์ผู้ใช้ แต่หลักการพื้นฐานเรื่องความเร็ว, ความเสถียร, และความง่ายในการใช้งาน จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญเสมอ

การเตรียมพร้อมสำหรับอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการยึดมั่นในปรัชญาของการสร้างเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่แค่ทำตามกฎเกณฑ์ของ Google เพียงอย่างเดียว หากคุณใส่ใจผู้ใช้จริงจัง เว็บไซต์ของคุณก็จะถูกสร้างมาให้มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม AI ในอนาคต ไม่ว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเมื่อไหร่ เว็บไซต์ที่แข็งแกร่งด้วยพื้นฐาน UX ที่ดีก็จะปรับตัวได้ง่ายกว่าเสมอ

บทสรุป

ในโลกดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI การสร้างเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่แค่การมีเนื้อหาที่ดีหรือการทำ SEO แบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ยังรวมถึงการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้ในทุกมิติ Core Web Vitals และ Page Experience คือสัญญาณสำคัญที่ Google ใช้ในการประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า AI ของพวกเขาเข้าใจดีถึงคุณค่าของการใช้งานที่ราบรื่นและน่าพึงพอใจ

การลงทุนในการปรับปรุง Core Web Vitals และปัจจัย Page Experience อื่นๆ จึงไม่ใช่แค่การทำตามกฎของ Google แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเว็บไซต์คุณเอง เป็นการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้ เพิ่มโอกาสในการเข้าชม และสุดท้ายคือการสร้างความสำเร็จระยะยาวให้กับธุรกิจของคุณ ขอให้คุณสนุกกับการสร้างเว็บไซต์ที่ทั้งคนและ AI ต่างก็ชื่นชอบ!